 
     
                                
การใช้สเปกตรัมอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารเคลื่อนที่ เนื่องจากผู้ให้บริการพยายามที่จะให้บริการอัตราข้อมูลที่เร็วขึ้นและการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น การรวมคลื่นพาหะ (CA) จึงกลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่นำเสนอใน 3GPP R10 (LTE-Advanced) และได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมใน 5G (NR)
1. การรวมคลื่นพาหะ(CA) เพิ่มแบนด์วิดท์และปริมาณงานโดยการรวมคลื่นพาหะหลายตัว (CCs) แบนด์วิดท์ของคลื่นพาหะแต่ละตัวมีตั้งแต่ 20 MHz ใน LTE ถึง 100 MHz ใน 5G (NR) ดังนั้น แบนด์วิดท์รวมของ LTE-Advanced (5CCs) สามารถเข้าถึง 100 MHz ในขณะที่แบนด์วิดท์รวมของ 5G (NR) (16CCs) สามารถเข้าถึง 640 MHz หลักการคือการรวมคลื่นพาหะเข้าด้วยกัน เครือข่ายสามารถส่งและรับข้อมูลได้มากขึ้นพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้
2. ประเภทการรวม:ใน 4G และ 5G การรวมคลื่นพาหะสามารถแบ่งออกได้ตามวิธีการจัดระเบียบคลื่นพาหะในหรือภายในย่านความถี่ต่างๆ:
Intra-band contiguous | คลื่นพาหะที่อยู่ติดกันภายในย่านเดียวกัน | Band 3: 1800 MHz (10+10 MHz contiguous)
Intra-band non-contiguous | คลื่นพาหะภายในย่านเดียวกันแต่มีการแยกความถี่ | Band 40: 2300 MHz (20+20 MHz with a gap)
Inter-band aggregation | คลื่นพาหะจากย่านต่างๆ | Band 3 (1800 MHz) + Band 7 (2600 MHz)

รูปภาพด้านบนแสดงให้เห็นภาพประเภท intra-band non-contiguous โดยที่คลื่นพาหะทั้งสองเป็นของ Band A แต่มีช่องว่างในสเปกตรัมระหว่างกัน
3. การรวมคลื่นพาหะแบบ Intra-band contiguous (ICCA) ทำงานโดยการรวมคลื่นพาหะที่อยู่ติดกันภายในย่านเดียวกันการรวมคลื่นพาหะแบบ Non-contiguous intra-band(NCCA) ก้าวไปอีกขั้นและอนุญาตให้รวมคลื่นพาหะที่ไม่ติดกันภายในย่านเดียวกัน สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ให้บริการที่จัดการกับการจัดสรรสเปกตรัมแบบแยกส่วน
4. การรวมคลื่นพาหะแบบ Intra-Band Non-Contiguous(ICA) เป็นคุณสมบัติที่เปิดใช้งานใน 4G และ 5G เพื่อใช้สเปกตรัมที่แยกส่วนอย่างเต็มที่ การรวมคลื่นพาหะ (CA) ช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถรวมคลื่นพาหะหลายตัว (เรียกว่าคลื่นพาหะ (CCs)) เพื่อสร้างช่องสัญญาณแบนด์วิดท์ที่กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณงานและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้